Cyclone damage in Myanmar is characterized by storm and heavy rain, as well as frequent storm surge damage. The most severe cyclone in the past was Cyclone Nargis in May 2008, which caused severe storm surge damage. Cyclone Nargis occurred in the central part of the Bay of Bengal on April 27, 2008. It initially headed toward India, but then suddenly changed its course to the east. Cyclone Nargis made landfall in the Ayeyarwaddy River Delta in Myanmar on May 2, and disappeared near the border between Myanmar and Thailand the next day. The coastal area where Nargis made landfall and the Ayeyarwaddy River Delta are topographic conditions that cover a wide area of low-lying land with a small difference in elevation from sea level. Conditions such as the cyclone’s wind direction, air pressure, and path influenced the occurrence of storm surge damage. This resulted in serious storm surge damage, the worst ever recorded from a cyclone in Myanmar. There are records that the storm surge water level is 3-4 m in the main basin of the Yangon River, and the maximum is over 7 m. In recent years, major cyclones that caused severe damage in Myanmar occurred in 1968 (over 1,000 deaths) and 1975 (over 300 deaths). However, the number of deaths caused by Nargis is an unprecedented over 80,000.
แผนภาพที่ 1: สถานการณ์ฝน (ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา)
เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2565) พบว่าปริมาณน้ำฝนสะสมของปีนี้ต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะทางภาคเหนือและภาคกลางดังแผนภาพด้านบน ปริมาณน้ำฝนในปีพ.ศ.2565 (ถึงวันที่ 18 กันยายน) นั้นอยู่ที่ 600-3000 มิลลิเมตร และปริมาณน้ำฝนในปีพ.ศ.2566 (ถึงวันที่ 18 กันยายน) อยู่ที่ 200-3000 มิลลิเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับค่าปกติของปริมาณน้ำฝนแล้ว พบว่าปริมาณน้ำฝนสะสมของปีพ.ศ.2566 ลดลงโดยเฉลี่ย 200 มิลลิเมตร หมายเหตุ : ค่าปกติ คือ ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยภายในระยะเวลา 30 ปี (พ.ศ. 2524-2553)แผนภาพที่ 2 : พยากรณ์อากาศเดือนตุลาคม (ที่มา : กรมอุตุนิยมวิทยา)
ตารางที่ 1 : ค่าดัชนี ONI (ที่มา : NOAA)
IEAT (การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) คาดการณ์ว่าปรากฏการณ์เอลนีโญในปีนี้จะไม่รุนแรงมากนัก และ FTI (สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) กล่าวว่าภาคเอกชนได้ทำการสังเกตการณ์สถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด และเตือนให้ภาครัฐเตรียมพร้อมสำหรับภัยแล้งระยะยาว ซึ่งอาจกินระยะเวลาถึง 2-3 ปี โดยหากสถานการณ์ภัยแล้งไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องดื่ม กระดาษ ปิโตรเคมี สิ่งทอ โลหะ พลังงาน และเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ ช่วงภัยแล้งปีพ.ศ. 2558 โรงงานหลายแห่งใช้มาตรการต่าง ๆ ในการรับมือ เช่น การนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ การซื้อน้ำอุตสาหกรรมจากบริษัทเอกชน ซึ่งสิ่งสำคัญสำหรับบริษัทเหล่านี้ในการรับมือต่อภัยแล้ง คือ การสังเกตการณ์สภาพอากาศ และให้ความสำคัญกับข้อมูลระดับน้ำของแหล่งน้ำอุตสาหกรรมที่จะนำมาใช้ในนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงมาตรการสนับสนุนจากรัฐบาลและหน่วยงานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมแผนภาพที่ 3 : ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนสิริกิต์ (52%) ณ วันที่ 18 กันยายน (ที่มา : ระบบคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ)
แผนภาพที่ 4 : ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนภูมิพล (45%) ณ วันที่ 18 กันยายน (ที่มา : ระบบคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ)
ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยเขื่อนสิริกิติ์นั้นเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนที่ผ่านมามีปริมาณน้ำกักเก็บเพิ่มขึ้นจาก 38% เป็น 52% โดยที่ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนทั้งสองแห่งยังคงสูงกว่าปริมาณน้ำกักเก็บในปี พ.ศ. 2558แผนภาพที่ 5 : ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนป่าสัก (10%) ณ วันที่ 18 กันยายน (ที่มา : ระบบคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ)
แผนภาพที่ 6 : ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนแควน้อย (33%) ณ วันที่ 18 กันยายน (ที่มา : ระบบคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ)
แนวโน้มของปริมาณน้ำกักเก็บในเขื่อนป่าสักเปลี่ยนจากลดลงเป็นเพิ่มขึ้นเนื่องจากปริมาณน้ำฝน อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ำกักเก็บยังคงอยู่ในระดับวิกฤตซึ่งไม่เพียงพอต่อการใช้งานในกิจกรรมทางการเกษตร นอกจากนี้ปริมาณน้ำกักเก็บในเขื่อนแควน้อยก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกันแผนภาพที่ 7 : สถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ 18 กันยายน 2566 (ที่มา : ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ : SWOC)
แผนภาพที่ 8 : สถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ 18 กันยายน 2566 (ที่มา : ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ : SWOC)
สถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา 28 กุมภาพันธ์ 2566
สถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา 28 กุมภาพันธ์ 2566
หมายเหตุ : ค่าปกติ คือ ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยภายในระยะเวลา 30 ปี (พ.ศ. 2524-2553)
ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนสิริกิต์ (37%) ณ วันที่ 4 กรกฎาคม 2565
ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนภูมิพล (42%) ณ วันที่ 4 กรกฎาคม 2565
ปริมาณน้ำกักเก็บเขื่อนสิริกิติ์จนถึงวันที่ 4 กรกฎาคมมีระดับสูงกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย แม้ว่าปริมาณน้ำกักเก็บในช่วงต้นปีจะอยู่ในระดับต่ำ ในส่วนของเขื่อนภูมิพล ปริมาณน้ำกักเก็บค่อนข้างสูงกว่าปีที่ผ่านมา แม้ว่าปริมาณน้ำฝนจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนทั้งสองกลับมีแนวโน้มลดลงซึ่งต่างจากปีพ.ศ. 2554 อย่างสิ้นเชิงปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนป่าสัก (19%) ณ วันที่ 4 กรกฎาคม 2565
ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนแควน้อย (29%) ณ วันที่ 4 กรกฎาคม 2565
ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนแควน้อยและเขื่อนป่าสักมีระดับต่ำกว่าช่วงต้นปีค่อนข้างมาก ทว่าปริมาณน้ำกักเก็บมีระดับสูงกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย กระแสน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาตอนบน ระดับน้ำของแม่น้ำปิง วัง ยม และน่านมีความใกล้เคียงกับระดับน้ำในช่วงต้นเดือนมิถุนายน นอกจากนี้ระดับน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาเหนือเขื่อนเจ้าพระยามีระดับต่ำกว่าฝั่งมาก จึงไม่มีความน่าวิตกกังวลด้านเหตุน้ำท่วมแต่อย่างใดสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา 4 กรกฎาคม 2565
หมายเหตุ : – ตัวเลขในวงเล็บแสดงถึงอัตราการไหลของน้ำในหน่วย ลูกบาศก์เมตร/วินาที – ตัวเลขที่ขีดเส้นใต้แสดงระดับน้ำที่สูงกว่า (+) หรือต่ำกว่า (-) เทียบกับฝั่งแม่น้ำ โดยมีหน่วยเป็นเมตร – ระดับน้ำ U/S และ D/S มีหน่วยเป็นเมตร กระแสน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ระดับน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างมีความใกล้เคียงกับระดับน้ำในช่วงต้นเดือนมิถุนายน โดยมีระดับต่ำกว่าฝั่งแม่น้ำอย่างเห็นได้ชัด จึงไม่มีความน่ากังวลเรื่องเหตุน้ำท่วมแต่อย่างใดสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา
4 กรกฎาคม 2565
หมายเหตุ : – ตัวเลขสีดำแสดงถึงอัตราการไหลของน้ำในหน่วย ลูกบาศก์เมตร/วินาที – ตัวเลขในวงเล็บแสดงถึงอัตราการไหลของน้ำในหน่วย ลูกบาศก์เมตร/วัน – ตัวเลขที่ขีดเส้นใต้แสดงถึงระดับน้ำที่สูงกว่า (+) หรือต่ำกว่า (-) เทียบกับฝั่งแม่น้ำ โดยมีหน่วยเป็นเมตร References
ปริมาณน้ำกักเก็บ (เขื่อนสิริกิต์และเขื่อนภูมิพล) ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนสิริกิต์ (39%) ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2565
ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนภูมิพล (45%) ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2565
ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนสิริกิติ์จนถึงวันที่ 29 พฤษภาคมเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย แม้ว่าปริมาณน้ำกักเก็บในช่วงต้นปีจะอยู่ในระดับต่ำ ในส่วนของเขื่อนภูมิพลนั้นมีแนวโน้มที่ปริมาณน้ำกักเก็บจะแตกต่างจากปีที่ผ่านมา โดยมีปริมาณน้ำกักเก็บเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนป่าสัก (30%) ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2565
ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนแควน้อย (38%) ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2565
ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนแควน้อยและเขื่อนป่าสักเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงต้นปีนั้นต่ำกว่ามาก ทว่าปริมาณน้ำกักเก็บจะสูงกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย กระแสน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาตอนบน ระดับน้ำของแม่น้ำยมเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม โดยเฉพาะระดับน้ำของแม่น้ำในจังหวัดพิจิตร ในส่วนของแม่น้ำปิง วัง และน่านนั้นระดับน้ำไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม นอกจากนี้ระดับน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาเหนือเขื่อนเจ้าพระยานั้นก็มีระดับน้ำที่ต่ำกว่าฝั่งแม่น้ำเช่นกัน จึงไม่มีเรื่องน่าวิตกกังวลด้านเหตุน้ำท่วมแต่อย่างใดสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา 29 พฤษภาคม 2565
หมายเหตุ : – ตัวเลขในวงเล็บแสดงถึงอัตราการไหลของน้ำในหน่วย ลูกบาศก์เมตร/วินาที – ตัวเลขที่ขีดเส้นใต้แสดงระดับน้ำที่สูงกว่า (+) หรือต่ำกว่า (-) เทียบกับฝั่งแม่น้ำ โดยมีหน่วยเป็นเมตร – ระดับน้ำ U/S และ D/S มีหน่วยเป็นเมตร กระแสน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ระดับน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ระดับน้ำต่ำกว่าฝั่งแม่น้ำอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีสถานการณ์น่าเป็นกังวลแต่อย่างใดสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา 29 พฤษภาคม 2565
หมายเหตุ : – ตัวเลขสีดำแสดงถึงอัตราการไหลของน้ำในหน่วย ลูกบาศก์เมตร/วินาที – ตัวเลขในวงเล็บแสดงถึงอัตราการไหลของน้ำในหน่วย ลูกบาศก์เมตร/วัน – ตัวเลขที่ขีดเส้นใต้แสดงถึงระดับน้ำที่สูงกว่า (+) หรือต่ำกว่า (-) เทียบกับฝั่งแม่น้ำ โดยมีหน่วยเป็นเมตร
ตารางที่ 1 ประเภทของอาชญากรรมทางไซเบอร์ในประเทศไทย
ข้อมูลสถิติประวัติศาสตร์อาชญากรรมทางไซเบอร์ในประเทศไทยตั้งแต่ปีพ.ศ. 2561 มีแนวโน้มลดลง ทว่าจำนวนกรณียังคงสูง โดยมูลค่าความเสียหายเฉลี่ยของอาชญากรรมทางไซเบอร์ในปีพ.ศ. 2564 เพิ่มขึ้นถึง 144% หรือ 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 72.6 ล้านบาท) อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ บริการด้านกฎหมาย การก่อสร้าง การขายส่งและขายปลีก ระบบสาธารณสุข และนิคมอุตสาหกรรม นอกจากนี้ประเทศไทยยังอยู่ในอันดับที่ 6 ของประเทศแถบเอเชียแปซิฟิก โดยมีประเทศญี่ปุ่นที่ได้รับผลกระทบจากแรนซัมแวร์มากที่สุด จากแบบสอบถามของบริษัทไซเบอร์ในหลายประเทศ พบว่าผู้ใช้งานในประเทศไทยถูกโจมตีโดยอาชญากรทางไซเบอร์ประมาณ 21% ในปี 2564 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 29% ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนเหตุอาชญากรรมทางไซเบอร์อยู่ที่ 2,250 กรณี (ปีพ.ศ. 2561) 2,470 กรณี (ปีพ.ศ. 2562) 2,250 กรณี (ปีพ.ศ. 2563) และ 2,069 กรณี (ปีพ.ศ. 2564) ซึ่งจัดว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม เหตุอาชญากรรมทางไซเบอร์ประเภทการบุกรุกลดลงในขณะที่การโจมตีด้วยโปรแกรมไม่พึงประสงค์และภัยคุกคามอื่น ๆ (เช่น การรวบรวมข้อมูล) เพิ่มมากขึ้นดังแผนภาพดังต่อไปนี้แผนภาพที่ 1 จำนวนกรณีของเหตุอาชญากรรมทางไซเบอร์ในประเทศไทย
ตารางที่ 2 ตัวอย่างอาชญากรรมทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ในประเทศไทย
ตั้งแต่การตรวจพบจนถึงการรับมือขั้นต้น