ภาวะฉุกเฉิน คืออะไร? หลักการเตรียมตัวเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

ภาวะฉุกเฉิน คือ

ภาวะฉุกเฉิน เมื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิด กลายเป็นเรื่องที่ต้องรับมือ

การเข้าใจว่าเหตุฉุกเฉินคืออะไร และเหตุการณ์ฉุกเฉินมีกี่ระดับ จะช่วยให้สามารถวางแผนรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการประเมินความเสี่ยง หรือการจัดทำแผนฉุกเฉิน การมีแผนฉุกเฉินที่ชัดเจนรวมถึงการอบรมบุคลากรให้พร้อมปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นในการลดความเสียหายและฟื้นฟูระบบให้กลับมาได้เร็วที่สุด

HIGHLIGHTS:

ภาวะฉุกเฉิน คืออะไร ทำไมธุรกิจต้องมีแผนรับมือ

ภาวะฉุกเฉิน คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดและส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน ความปลอดภัย หรือทรัพย์สินขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ อุบัติเหตุ การระบาดของโรค หรือเหตุการณ์ทางไซเบอร์ ล้วนถือเป็น เหตุฉุกเฉินที่อาจทำให้ธุรกิจหยุดชะงักหรือเสียหายอย่างรุนแรง

การจัดทำแผนฉุกเฉินช่วยลดผลกระทบต่อธุรกิจทั้งในด้านการเงิน ความน่าเชื่อถือ และความปลอดภัยของบุคลากร นอกจากนี้ ยังเป็นส่วนหนึ่งของหลักการจัดการภาวะฉุกเฉินที่องค์กรควรฝึกซ้อมและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้พร้อมรับมือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉินในโรงงานหรือภัยคุกคามทางไซเบอร์ ที่ส่งผลต่อระบบงานหลักขององค์กร

ในยุคที่ความเสี่ยงเกิดขึ้นได้ทุกวัน การมีแผนฉุกเฉินที่ชัดเจนจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การผลิต พลังงาน หรือสุขภาพ การเข้าใจว่าภาวะฉุกเฉินคืออะไรจะช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแนวทางรับมือได้อย่างเป็นระบบ

แผนฉุกเฉิน

ภาวะฉุกเฉิน มีกี่ระดับ

ภาวะฉุกเฉิน สามารถแบ่งออกเป็นหลายระดับตามความรุนแรงและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อบุคคล ทรัพย์สิน หรือการดำเนินงานขององค์กร โดยการแบ่งระดับนี้อ้างอิงจากมาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น ISO 22320 Emergency Management, มาตรฐานการจัดการเหตุฉุกเฉินของสากล และแนวทางของหน่วยงานภาครัฐ

ระดับของเหตุการณ์ฉุกเฉินที่พบได้ทั่วไป:
  • ระดับ 1: ภาวะฉุกเฉินระดับต้น (Minor Emergency) เหตุการณ์ที่สามารถควบคุมได้ภายในหน่วยงาน เช่น ไฟฟ้าดับชั่วคราว หรืออุปกรณ์ขัดข้องเล็กน้อย ไม่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยโดยรวม
  • ระดับ 2: ภาวะฉุกเฉินระดับกลาง (Moderate Emergency) เหตุการณ์ที่เริ่มส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน เช่น ระบบเครือข่ายล่ม หรือเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่ทำงาน ต้องมีการประสานงานภายในและเริ่มใช้แผนฉุกเฉิน
  • ระดับ 3: ภาวะฉุกเฉินระดับรุนแรง (Major Emergency) เหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน เช่น เหตุฉุกเฉินจากไฟไหม้ แผ่นดินไหว หรือการระบาดของโรค จำเป็นต้องอพยพหรือหยุดการดำเนินงานบางส่วน
  • ระดับ 4: ภาวะฉุกเฉินระดับวิกฤต (Crisis Level Emergency) เหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง เช่น ภัยพิบัติระดับประเทศ การโจมตีทางไซเบอร์ หรือการล่มของระบบโครงสร้างพื้นฐานหลัก ต้องมีการบริหารจัดการภายใต้หลักการจัดการภาวะฉุกเฉินและอาจต้องได้รับการสนับสนุนจากภายนอก

 

ตัวอย่างภาวะฉุกเฉิน ที่อาจเกิดขึ้นได้ มีอะไรบ้าง

ภาวะฉุกเฉินสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากธรรมชาติ ความผิดพลาดของระบบ หรือภัยคุกคามที่มนุษย์สร้างขึ้น การเตรียมแผนฉุกเฉินที่ครอบคลุมสถานการณ์ต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรที่ต้องการลดความเสียหายและฟื้นฟูการดำเนินงานอย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างสถานการณ์ที่ควรมีแผนรับมือ:
แผนฉุกเฉินไฟไหม้

ครอบคลุมการอพยพ การดับเพลิงเบื้องต้น และการประสานงานกับหน่วยงานภายนอก เพื่อป้องกันการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน

แผนฉุกเฉินน้ำท่วม

เตรียมพื้นที่ปลอดภัย การป้องกันทรัพย์สิน และการฟื้นฟูหลังน้ำลด เพื่อให้สามารถกลับมาดำเนินงานได้เร็วที่สุด

แผนรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์

ป้องกันการโจมตีระบบ IT เช่น การแฮกข้อมูลหรือไวรัสคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัยของข้อมูลและการดำเนินงาน

แผนฉุกเฉินกรณีไฟฟ้าดับในโรงงาน

เตรียมระบบสำรองไฟฟ้าและแนวทางการดำเนินงานเมื่อเกิดเหตุ เพื่อให้กระบวนการผลิตไม่หยุดชะงัก

แผนฉุกเฉินโรคระบาด

เช่น COVID-19 หรือโรคติดเชื้ออื่น ๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาพบุคลากรและการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์

แผนฉุกเฉินแผ่นดินไหว

วางแนวทางการอพยพ การตรวจสอบโครงสร้างอาคาร และการดูแลผู้ได้รับผลกระทบอย่างปลอดภัย

องค์ประกอบของการจัดการกับภาวะฉุกเฉิน มีอะไรบ้าง?

หลักการจัดการภาวะฉุกเฉิน คือการวางแผนอย่างรอบด้านตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ระหว่างเกิดเหตุ และหลังเหตุการณ์สิ้นสุด เพื่อให้สามารถลดผลกระทบและฟื้นฟูองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

องค์ประกอบหลักในการจัดการภาวะฉุกเฉิน ตามมาตรฐาน ISO 22320 Emergency Management ได้แก่:

แผนฉุกเฉิน คือ
การสังเกตการณ์ (Observation)

การเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถตรวจจับสัญญาณของเหตุฉุกเฉินได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

การรวบรวม ประมวลผล และแบ่งปันข้อมูล (Information gathering, processing and sharing)

การจัดการข้อมูลจากหลายแหล่งอย่างมีระบบ เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ทันเวลา และสามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจได้

การประเมินสถานการณ์และการคาดการณ์ (Assessment of the situation and forecast)

วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ฉุกเฉิน พร้อมคาดการณ์แนวโน้ม เพื่อเตรียมแผนรับมืออย่างเหมาะสม

การวางแผน (Planning)

กำหนดแนวทางการตอบสนองและการจัดการภาวะฉุกเฉิน เช่น การจัดลำดับความสำคัญ การจัดสรรทรัพยากร และการเตรียมบุคลากร

การตัดสินใจและการสื่อสาร (Decision-making and communication)

การตัดสินใจอย่างรวดเร็วและแม่นยำ พร้อมการสื่อสารที่ชัดเจนไปยังทุกฝ่าย เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

การดำเนินการตามแผน (Implementation)

ลงมือปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ โดยอาศัยการประสานงานระหว่างทีมงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้ได้ผล

การรับข้อมูลย้อนกลับและมาตรการควบคุม (Feedback gathering and control measures)

ตรวจสอบผลการดำเนินงาน ประเมินประสิทธิภาพของแผน และปรับปรุงมาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

วัตถุประสงค์ ของการมีแผนรับมือภาวะฉุกเฉิน คืออะไร?

เมื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ความเร็วในการตอบสนองคือสิ่งที่ตัดสินว่าองค์กรจะ “อยู่รอด” หรือ “หยุดชะงัก” — นี่คือเหตุผลสำคัญที่ต้องมีแผนรับมือภาวะฉุกเฉิน

วัตถุประสงค์หลักของการมีแผนรับมือภาวะฉุกเฉิน ได้แก่:

ลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน

เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับบุคลากร ลูกค้า และทรัพย์สินขององค์กรเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

รักษาความต่อเนื่องในการดำเนินงาน

ช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินกิจกรรมหลักได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่เกิดภาวะฉุกเฉิน

เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า พนักงาน และผู้ลงทุนว่าองค์กรมีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดคิด

ลดระยะเวลาในการฟื้นฟูระบบ

การมีแผนที่ชัดเจนช่วยให้การฟื้นฟูหลังเหตุการณ์เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

สนับสนุนการตัดสินใจในภาวะวิกฤต

ให้แนวทางที่ชัดเจนในการตัดสินใจและดำเนินการในช่วงเวลาที่ต้องการความรวดเร็วและแม่นยำ

สอดคล้องกับมาตรฐานและข้อกำหนดด้านความปลอดภัย

เช่น ISO 22320 และแนวทางการจัดการ ภาวะฉุกเฉิน ที่องค์กรควรปฏิบัติตามเพื่อความปลอดภัยและความรับผิดชอบต่อสังคม

ขั้นตอนการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้น มีอะไรบ้าง?

เมื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ อุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานขององค์กร การตอบโต้ต้องเป็นไปอย่างมีระบบ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ โดยอ้างอิงจากมาตรฐานสากล ISO 22320:2018 – Emergency Management ซึ่งกำหนดโครงสร้างการบริหารจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉินไว้อย่างชัดเจน

องค์ประกอบหลักของโครงสร้างการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินตาม ISO 22320:

การสั่งการและควบคุม (Command)

กำหนดอำนาจในการตัดสินใจ วางโครงสร้างการบริหารเหตุการณ์ และจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นระบบ เพื่อควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การวางแผน (Planning)

รวบรวม ประเมิน และแบ่งปันข้อมูลเหตุการณ์อย่างทันเวลา พร้อมจัดทำแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน รวมถึงรายงานสถานะและการจัดสรรบุคลากร

การปฏิบัติการ (Operations)

ดำเนินการตามเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ เช่น การลดความเสี่ยง การปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน และการควบคุมสถานการณ์จนเข้าสู่ขั้นตอนการฟื้นฟู

การสนับสนุนและทรัพยากร (Logistics)

จัดการด้านสถานที่ อุปกรณ์ การขนส่ง เชื้อเพลิง อาหาร และบริการทางการแพทย์ รวมถึงการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

การเงินและการบริหารจัดการ (Finance and Administration)

ดูแลเรื่องการเบิกจ่าย การจัดซื้อ การชดเชย และการบริหารเวลาและต้นทุน โดยอาจแยกเป็นหน่วยเฉพาะหรือรวมกับโครงสร้างหลัก ขึ้นอยู่กับขนาดของเหตุการณ์

Download ฟรี คู่มือหลักการจัดการภาวะฉุกเฉินเบื้องต้น จากอินเตอร์ริสค์

เพื่อสนับสนุนการเตรียมความพร้อมอย่างเป็นระบบ ทาง InterRisk Asia ได้จัดทำไฟล์ PDF คู่มือเบื้องต้นเกี่ยวกับหลักการจัดการภาวะฉุกเฉินเบื้องต้น สำหรับดาวน์โหลดฟรี

เหมาะสำหรับใคร?

  • เจ้าหน้าที่ความปลอดภัย (Safety Officer)
  • ทีมบริหารความเสี่ยง (Risk Management)
  • หน่วยงานราชการและองค์กรเอกชนที่ต้องการวางแผนรับมือภาวะฉุกเฉิน

คำถามที่พบได้บ่อย (FAQs)

องค์กรควรมีแผนรับมือกับสภาวะฉุกเฉินหรือไม่?

องค์กรควรมีแผนรับมือกับสภาวะฉุกเฉิน เพื่อให้สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ลดผลกระทบ และฟื้นฟูการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ควรมีการแต่งตั้งทีมจัดการภาวะฉุกเฉิน (Emergency Response Team) และกำหนดบทบาทหน้าที่ไว้อย่างชัดเจน

ต้องมีช่องทางสื่อสารที่ชัดเจน เช่น โทรศัพท์ อีเมล แอปภายใน หรือประกาศผ่านเว็บไซต์ เพื่อแจ้งข้อมูลที่ถูกต้องและทันเวลา

ควรมีการประเมินผล (Post-Incident Review), สรุปบทเรียน (Lessons Learned), และปรับปรุงแผนเพื่อป้องกันเหตุซ้ำในอนาคต

จัดการภาวะฉุกเฉินกับ InterRisk Asia

การมีแผนฉุกเฉินที่ชัดเจนและเป็นระบบจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

InterRisk เราให้บริการที่ครอบคลุมตั้งแต่ การประเมินความเสี่ยง (Risk Management) การจัดทำแผน BCP การอบรม BCP การฝึกซ้อมแผน BCP ไปจนถึงการให้คำปรึกษาแบบครบวงจร โดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ อีกทั้ง InterRisk เป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจชั้นนำในประเทศไทย ภายใต้เครือ MS&AD จากประเทศญี่ปุ่น

บริการของเรา
Business Continuity Consulting
การให้คำปรึกษาเพื่อพัฒนาระบบ BCM ผ่านรูปแบบการดำเนินงานแบบครบวงจร พร้อมต่อยอดสู่มาตรฐาน ISO 22301
Click Here
Business Continuity Training
การฝึกอบรมแบบปรับแต่งเฉพาะสำหรับผู้บริหารและพนักงานเพื่อสร้างความตระหนักรู้และพัฒนาทักษะด้าน BCMS
Click Here
Business Impact Analysis
การวิเคราะห์ความเสี่ยงและผลกระทบจากการหยุดชะงัก เพื่อวางแผนกลยุทธ์สำหรับการจัดทำแผน BCP
Click Here
Business Continuity Plan Exercise
การซ้อมแผน BCP เพื่อทดสอบและพัฒนาความพร้อมและการตอบสนองขององค์กร
Click Here
เหตุผลที่เลือกเรา

ทีมที่ปรึกษามีประสบการณ์ด้าน BCMS โดยตรง

การออกแบบแผนที่ปรับตามบริบทของแต่ละธุรกิจ

โซลูชันที่ใช้ได้จริง ครบวงจร และพร้อมดำเนินการ

ไม่ว่าคุณจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการความมั่นใจ หรือธุรกิจ SMEs ที่ต้องการวางรากฐาน InterRisk พร้อมช่วยคุณสร้างแผน BCP ที่ครบวงจร เพื่อ Turning Risks To Resilience ไปด้วยกัน

แชร์

Let us help you ensure business continuity

Talk to InterRisk and take the first step toward a safer, risk-free business