สถานการณ์ความเสี่ยงด้านน้ำท่วมภายในประเทศไทย (13 พฤศจิกายน 2025)

สถานการณ์ความเสี่ยงด้านน้ำท่วมภายในประเทศไทย (13 พฤศจิกายน 2025)

[สรุป]

  • 23 ต.ค. 2025 กรมอุตุนิยมวิทยาได้มีการประกาศว่าประเทศไทยได้เปลี่ยนผ่านจากฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน (13 พ.ย. 2025) ยังคงมีฝนตกอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ภาคกลาง รวมถึงกรุงเทพมหานคร
  • ปริมาณน้ำในเขื่อนหลักในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมดใกล้ถึงขีดจำกัดการกักเก็บน้ำ โดยเขื่อนภูมิพลจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณการระบายน้ำ ก่อให้เกิดความกังวลต่อพื้นที่ท้ายเขื่อน
  • เนื่องจากมีการระบายน้ำจากเขื่อนหลักในพื้นที่ภาคเหนือในปริมาณมาก เขื่อนเจ้าพระยา ซึ่งเป็นจุดควบคุมสำคัญในการระบายน้ำสู่พื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง จึงจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณการระบายน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีปริมาณการระบายน้ำอยู่ที่ 2,900 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ซึ่งเกินกว่าระดับเตือนภัยแล้ว โดยขณะนี้มีน้ำท่วมหลายจุดในจังหวัดสิงห์บุรี อ่างทอง และอยุธยา อย่างไรก็ตาม ณ วันนี้ ยังไม่มีรายงานผลกระทบต่อพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่สำคัญ
  • ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำหลายจุดในภูมิภาคตะวันออกเพิ่มสูงขึ้น แต่ยังไม่มีความน่ากังวลแต่อย่างใด
  • การติดตามข้อมูลระดับน้ำล่าสุดในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาอย่างต่อเนื่องมีความสำคัญเป็นอย่างมาก

ปริมาณน้ำฝน

อ้างอิงแผนภาพด้านล่างจากซ้ายไปขวาคือ ปริมาณน้ำฝนสะสมในช่วง 1 ม.ค. – 12 พ.ย. 2025, 1 ม.ค. – 12 พ.ย. 2024 และปริมาณน้ำฝนที่แตกต่างจากค่าปกติ (ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยภายในระยะเวลา 30 ปี)

ปริมาณน้ำฝนสะสม ณ วันที่ 12 พ.ย. 2025 ทั่วประเทศมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น ภาคเหนือ ภาคกลาง และบริเวณใกล้กรุงเทพมหานครมีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับค่าปกติแล้วพบว่าปริมาณน้ำฝนสะสมในหลายพื้นที่ยกเว้นภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางบางส่วนสูงกว่าค่าปกติอย่างเห็นได้ชัด โดยในพื้นที่ภาคใต้นั้นมีปริมาณน้ำฝนสะสมต่ำกว่าค่าปกติ

แผนภาพ : ปริมาณน้ำฝนของช่วงวันที่ 12 พ.ย. 2025 และ 12 พ.ย. 2024 และปริมาณน้ำฝนที่แตกต่างจากค่าปกติ (อ้างอิง : กรมอุตุนิยมวิทยา)

การพยากรณ์อากาศ

ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากพายุหมุนเขตร้อน Kalmaegi ที่แม้พายุดังกล่าวจะอ่อนกำลังลงแล้วในช่วงที่เข้าใกล้ประเทศไทย แต่ก็ยังคงส่งผลให้มีฝนตกหนักในพื้นที่ทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้พื้นที่ภาคใต้ยังได้รับผลกระทบจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ส่งผลให้มีฝนตกอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าปริมาณน้ำฝนทั่วประเทศสูงกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย ทว่าปริมาณน้ำฝนในภาคเหนือสูงกว่าค่าเฉลี่ยอย่างมีนัยสำคัญ

อ้างอิงจากศูนย์ปฏิบัติการณ์น้ำอัจฉริยะ (Smart Water Operation Center) กรมชลประทาน ในวันที่ 13 พ.ย. พบว่ามีฝนตกหนักและพายุฝนฟ้าคะนองในพื้นที่ภาคกลาง กรุงเทพมหานคร ภาคตะวันออก และภาคเหนือและใต้บางส่วนด้วยเช่นกัน โดยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นได้รับผลกระทบจากความกดอากาศสูงจากประเทศจีน ส่งผลให้อุณหภูมิเริ่มลดลงและเปลี่ยนผ่านจากฤดูฝนสู่ฤดูหนาว หลังจากนี้คาดว่าจะมีฝนตกทั่วประเทศไปอีกระยะหนึ่ง โดยอ้างอิงจากแผนภาพด้านล่างพบว่าจะยังไม่มีฝนตกในพื้นที่ทางตอนเหนือของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและพื้นที่ภาคกลาง

พยากรณ์อากาศในอีก 3 วันข้างหน้า

ปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญา

ปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญาจะเกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลางและตะวันออกบริเวณศูนย์สูตรสูงหรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเป็นเวลาหลายเดือนถึงหนึ่งปี ซึ่งปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญานั้นจัดเป็นสาเหตุหนึ่งของสภาวะอากาศแปรปรวนทั่วโลก รวมถึงไทยและญี่ปุ่น โดยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างประเทศไทยนั้นเมื่อเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญจะมีแนวโน้มฝนตกน้อยลง และเมื่อเกิดปรากฏการณ์ลานีญาจะมีแนวโน้มฝนตกหนัก
จากแผนภาพด้านล่าง NOAA (องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา) ได้มีการประกาศข้อมูลแนวโน้มตั้งแต่ปี 2013 ของเลขดัชนี ONI (ดัชนีมหาสมุทรนีโญ) ซึ่งเป็นดัชนีการแสดงออกของปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญา หากเลขดัชนี ONI มากกว่า 0.5 อย่างต่อเนื่องจะเกิดเอลนีโญ และหากเลขดัชนี ONI ต่ำกว่า – 0.5 อย่างต่อเนื่องจะเกิดลานีญา
ปัจจุบัน เลขดัชนี ONI ยังบงชี้ที่สภาวะเป็นกลางแต่ก็กำลังเข้าสู่ภาวะติดลบ (ปรากฏการณ์ลานีญา) องค์กรระหว่างประเทศหลายแห่งคาดการณ์ว่าเลขดัชนี ONI จะกลับสู่สภาวะเป็นกลางจากแนวโน้มลานีญาในเดือนกุมภาพันธ์ 2026 และจะดำเนินต่อไปจนถึงเดือนเมษายน 2026

แผนภาพ : แนวโน้มความเปลี่ยนแปลงของเลขดัชนี ONI ในช่วงปี 2013-2025
(อ้างอิง : NOAA 13 พฤศจิกายน 2025)

ปริมาณน้ำกักเก็บ (เขื่อนสิริกิต์และเขื่อนภูมิพล)

ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนสิริกิต์ (98% ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2025)

Storage level Sirikit Dam (98%, 13 Nov 2025)

ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนภูมิพล (100% ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2025)

Storage level Bhumibol Dam (100%, 13 Nov 2025)
แผนภาพ : ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิต์ (13 พฤศจิกายน 2025) (อ้างอิง : ระบบคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ)

เขื่อนทั้งสองอยู่ในสภาวะน้ำเกือบเต็ม ในส่วนของเขื่อนภูมิพลนั้นได้มีการเพิ่มปริมาณการระบายน้ำ แต่ก็ยังคงต่ำกว่าปริมาณการระบายน้ำในปี 2011 ส่งผลให้เกิดความน่ากังวลว่าจะเกิดน้ำทะลักออกนอกเขื่อนในกรณีที่เกิดฝนตกที่ลุ่มแม่น้ำเหนือเขื่อน ในส่วนของเขื่อนสิริกิต์ แม้ว่าจะอยู่ในสภาวะน้ำเกือบเต็ม แต่ปริมาณการระบายน้ำมีแน้วโน้มลดลง โดยได้มีการดำเนินการมาตรการในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำปิงตอนบนเพื่อชะลอการไหลของน้ำเข้าสู่เขื่อนภูมิพล

ปริมาณน้ำกักเก็บ (เขื่อนป่าสักและเขื่อนแควน้อย)

ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนป่าสัก (96% ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2025)

Storage level Pasak Dam (96%, 13 Nov 2025)

ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนแควน้อย (101% ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2025)

Storage level Bhumibol Dam (100%, 13 Nov 2025)
แผนภาพ : ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนป่าสัก เขื่อนแควน้อย (13 พฤศจิกายน 2025)
(อ้างอิง : ระบบคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ)

ปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนป่าสักอยู่ที่ 96% และมีระดับน้ำต่ำกว่าปี 2011 เพียงเล็กน้อย ในขณะเดียวกัน เขื่อนแควน้อยมีปริมาณน้ำกักเก็บอยู่ที่ 101% ซึ่งเกินความจุสูงสุดแล้วและมีระดับน้ำสูงกว่าปี 2011 เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากเขื่อนป่าสักนั้นไม่มากนัก แต่การระบายน้ำจากเขื่อนแควน้อยได้เริ่มส่งผลกระทบต่อจังหวัดตามแนวแม่น้ำน่านแล้ว ซึ่งรวมถึงจังหวัดพิจิตรด้วย โดยในปัจจุบันปริมาณการระบายน้ำของทั้งสองเขื่อนมีแนวโน้มลดลง

สถานการณ์กระแสน้ำบริเวณตอนบนของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา (ด้านเหนือของเขื่อนเจ้าพระยา)

บริเวณตอนบนของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยผลกระทบจากปริมาณฝนที่มากขึ้น ส่งผลให้ปริมารการระบายน้ำเพิ่มขึ้นและนำไปสู่เหตุน้ำท่วม โดยจุดที่น่าวิตกกังวลคือ แม่น้ำปิง นอกจากนี้เนื่องจากปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพลถึงขีดจำกัดแล้ว จึงจำเป็นต้องมีการเพิ่มปริมาณการระบายน้ำ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริเวณตอนล่างของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาได้

สถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาตอนบน

ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2025

Water Situation in the Chao Phraya River
13 Nov 2025

[หมายเหตุ]

1)ตัวเลขสีดำในแม่น้ำ: อัตราการไหลของแม่น้ำ (ลูกบาศก์เมตร/วินาที) ตัวเลขในวงเล็บ: อัตราการไหลของน้ำ(ลูกบาศก์เมตร/วัน)
2) ตัวเลขที่ขีดเส้นใต้และมี (+) หรือต่ำกว่า (-): ความห่างของระดับน้ำจากเขื่อนกั้นน้ำ (หากเลขเป็น 0 จะเกิดน้ำท่วม)
3) ระดับน้ำ U/S และ D/S มีหน่วยเป็นเมตร

แผนภาพ : สถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาตอนบน ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2025 (อ้างอิง : ศูนย์ปฏิบัติการณ์น้ำอัจฉริยะ : SWOC)

สถานการณ์กระแสน้ำบริเวณตอนล่างของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา (ด้านใต้ของเขื่อนเจ้าพระยา)

ปริมาณการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยาซึ่งเป็นจุดสำคัญในการควบคุมปริมาณการระบายน้ำไปยังบริเวณตอนล่างของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาได้เพิ่มการระบายน้ำสูงถึง 2,900 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ซึ่งสูงกว่าระดับเตือนภัย (2,500 ลูกบาศก์เมตร/วินาที) นอกจากนี้ในปัจจุบันได้เกิดน้ำท่วมที่บริเวณตอนล่างของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาโดยเฉพาะ สิงห์บุรี อ่างทอง และอยุธยา อย่างไรก็ตาม ปริมาณการระบายน้ำในพื้นที่ท้ายเขื่อนยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำสูงสุดในปี 2011 ทำให้คาดการณ์ว่ายังไม่น่าจะเกิดน้ำท่วมรุนแรงในพื้นที่เศรษฐกิจตอนล่างของประเทศดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในปี 2011

สถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา

ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2025

แผนภาพ : สถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2025 (อ้างอิง : ศูนย์ปฏิบัติการณ์น้ำอัจฉริยะ : SWOC)

สถานการณ์อ่างเก็บน้ำหลักในภาคตะวันออก (ระยอง)

ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำหนองค้อ (วันที่ 13 พฤศจิกายน 2025)

Storage level Nong Kho (13 Nov 2025)

ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ (วันที่ 13 พฤศจิกายน 2025)

Storage level Klong Yai (13 Nov 2025)

ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล (วันที่ 13 พฤศจิกายน 2025)

Storage level Nong Pla Lai (13 Nov 2025)

ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำบางพระ (วันที่ 13 พฤศจิกายน 2025)

Storage level Bang Phra (13 Nov 2025)

ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำประแสร์ (วันที่ 13 พฤศจิกายน 2025)

Storage level Prasae (13 Nov 2025)

แชร์

ค้นหา

บล็อกล่าสุด

Let us help you ensure business continuity

Talk to InterRisk and take the first step toward a safer, risk-free business