ภาวะฉุกเฉิน เมื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิด กลายเป็นเรื่องที่ต้องรับมือ
การเข้าใจว่าเหตุฉุกเฉินคืออะไร และเหตุการณ์ฉุกเฉินมีกี่ระดับ จะช่วยให้สามารถวางแผนรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการประเมินความเสี่ยง หรือการจัดทำแผนฉุกเฉิน การมีแผนฉุกเฉินที่ชัดเจนรวมถึงการอบรมบุคลากรให้พร้อมปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นในการลดความเสียหายและฟื้นฟูระบบให้กลับมาได้เร็วที่สุด
HIGHLIGHTS:
- ภาวะฉุกเฉิน คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิต ทรัพย์สิน และการดำเนินงานขององค์กร จำเป็นต้องมีแผนฉุกเฉินที่ชัดเจนเพื่อรับมืออย่างมีประสิทธิภาพ
- วัตถุประสงค์ของแผนฉุกเฉิน คือ การลดความเสียหาย รักษาความต่อเนื่อง เพิ่มความมั่นใจให้ผู้เกี่ยวข้อง และสนับสนุนการตัดสินใจในภาวะวิกฤตอย่างเป็นระบบและปลอดภัย
- แผนฉุกเฉินควรครอบคลุมหลายสถานการณ์ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม โรคระบาด ไฟฟ้าดับ และภัยคุกคามทางไซเบอร์ เพื่อให้สามารถลดผลกระทบและฟื้นฟูระบบได้รวดเร็ว
- โดยทั่วไปเหตุการณ์ฉุกเฉินแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ตั้งแต่ระดับต้น ปานกลาง รุนแรง จนถึงระดับวิกฤต โดยสามารถอ้างอิงการจัดการภาวะฉุกเฉินจากมาตรฐาน ISO 22320 เพื่อช่วยให้องค์กรวางแผนตอบสนองได้อย่างเหมาะสม
ภาวะฉุกเฉิน คืออะไร ทำไมธุรกิจต้องมีแผนรับมือ
ภาวะฉุกเฉิน คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดและส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน ความปลอดภัย หรือทรัพย์สินขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ อุบัติเหตุ การระบาดของโรค หรือเหตุการณ์ทางไซเบอร์ ล้วนถือเป็น เหตุฉุกเฉินที่อาจทำให้ธุรกิจหยุดชะงักหรือเสียหายอย่างรุนแรง
การจัดทำแผนฉุกเฉินช่วยลดผลกระทบต่อธุรกิจทั้งในด้านการเงิน ความน่าเชื่อถือ และความปลอดภัยของบุคลากร นอกจากนี้ ยังเป็นส่วนหนึ่งของหลักการจัดการภาวะฉุกเฉินที่องค์กรควรฝึกซ้อมและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้พร้อมรับมือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉินในโรงงานหรือภัยคุกคามทางไซเบอร์ ที่ส่งผลต่อระบบงานหลักขององค์กร
ในยุคที่ความเสี่ยงเกิดขึ้นได้ทุกวัน การมีแผนฉุกเฉินที่ชัดเจนจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การผลิต พลังงาน หรือสุขภาพ การเข้าใจว่าภาวะฉุกเฉินคืออะไรจะช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแนวทางรับมือได้อย่างเป็นระบบ
ภาวะฉุกเฉิน มีกี่ระดับ
ภาวะฉุกเฉิน สามารถแบ่งออกเป็นหลายระดับตามความรุนแรงและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อบุคคล ทรัพย์สิน หรือการดำเนินงานขององค์กร โดยการแบ่งระดับนี้อ้างอิงจากมาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น ISO 22320 Emergency Management, มาตรฐานการจัดการเหตุฉุกเฉินของสากล และแนวทางของหน่วยงานภาครัฐ
- ระดับ 1: ภาวะฉุกเฉินระดับต้น (Minor Emergency) เหตุการณ์ที่สามารถควบคุมได้ภายในหน่วยงาน เช่น ไฟฟ้าดับชั่วคราว หรืออุปกรณ์ขัดข้องเล็กน้อย ไม่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยโดยรวม
- ระดับ 2: ภาวะฉุกเฉินระดับกลาง (Moderate Emergency) เหตุการณ์ที่เริ่มส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน เช่น ระบบเครือข่ายล่ม หรือเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่ทำงาน ต้องมีการประสานงานภายในและเริ่มใช้แผนฉุกเฉิน
- ระดับ 3: ภาวะฉุกเฉินระดับรุนแรง (Major Emergency) เหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน เช่น เหตุฉุกเฉินจากไฟไหม้ แผ่นดินไหว หรือการระบาดของโรค จำเป็นต้องอพยพหรือหยุดการดำเนินงานบางส่วน
- ระดับ 4: ภาวะฉุกเฉินระดับวิกฤต (Crisis Level Emergency) เหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง เช่น ภัยพิบัติระดับประเทศ การโจมตีทางไซเบอร์ หรือการล่มของระบบโครงสร้างพื้นฐานหลัก ต้องมีการบริหารจัดการภายใต้หลักการจัดการภาวะฉุกเฉินและอาจต้องได้รับการสนับสนุนจากภายนอก
ตัวอย่างภาวะฉุกเฉิน ที่อาจเกิดขึ้นได้ มีอะไรบ้าง
ภาวะฉุกเฉินสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากธรรมชาติ ความผิดพลาดของระบบ หรือภัยคุกคามที่มนุษย์สร้างขึ้น การเตรียมแผนฉุกเฉินที่ครอบคลุมสถานการณ์ต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรที่ต้องการลดความเสียหายและฟื้นฟูการดำเนินงานอย่างรวดเร็ว
ครอบคลุมการอพยพ การดับเพลิงเบื้องต้น และการประสานงานกับหน่วยงานภายนอก เพื่อป้องกันการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน
เตรียมพื้นที่ปลอดภัย การป้องกันทรัพย์สิน และการฟื้นฟูหลังน้ำลด เพื่อให้สามารถกลับมาดำเนินงานได้เร็วที่สุด
ป้องกันการโจมตีระบบ IT เช่น การแฮกข้อมูลหรือไวรัสคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัยของข้อมูลและการดำเนินงาน
เตรียมระบบสำรองไฟฟ้าและแนวทางการดำเนินงานเมื่อเกิดเหตุ เพื่อให้กระบวนการผลิตไม่หยุดชะงัก
เช่น COVID-19 หรือโรคติดเชื้ออื่น ๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาพบุคลากรและการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์
วางแนวทางการอพยพ การตรวจสอบโครงสร้างอาคาร และการดูแลผู้ได้รับผลกระทบอย่างปลอดภัย
องค์ประกอบของการจัดการกับภาวะฉุกเฉิน มีอะไรบ้าง?
หลักการจัดการภาวะฉุกเฉิน คือการวางแผนอย่างรอบด้านตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ระหว่างเกิดเหตุ และหลังเหตุการณ์สิ้นสุด เพื่อให้สามารถลดผลกระทบและฟื้นฟูองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
องค์ประกอบหลักในการจัดการภาวะฉุกเฉิน ตามมาตรฐาน ISO 22320 Emergency Management ได้แก่:
การเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถตรวจจับสัญญาณของเหตุฉุกเฉินได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
การจัดการข้อมูลจากหลายแหล่งอย่างมีระบบ เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ทันเวลา และสามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจได้
วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ฉุกเฉิน พร้อมคาดการณ์แนวโน้ม เพื่อเตรียมแผนรับมืออย่างเหมาะสม
กำหนดแนวทางการตอบสนองและการจัดการภาวะฉุกเฉิน เช่น การจัดลำดับความสำคัญ การจัดสรรทรัพยากร และการเตรียมบุคลากร
การตัดสินใจอย่างรวดเร็วและแม่นยำ พร้อมการสื่อสารที่ชัดเจนไปยังทุกฝ่าย เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ลงมือปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ โดยอาศัยการประสานงานระหว่างทีมงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้ได้ผล
ตรวจสอบผลการดำเนินงาน ประเมินประสิทธิภาพของแผน และปรับปรุงมาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
วัตถุประสงค์ ของการมีแผนรับมือภาวะฉุกเฉิน คืออะไร?
เมื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ความเร็วในการตอบสนองคือสิ่งที่ตัดสินว่าองค์กรจะ “อยู่รอด” หรือ “หยุดชะงัก” — นี่คือเหตุผลสำคัญที่ต้องมีแผนรับมือภาวะฉุกเฉิน
วัตถุประสงค์หลักของการมีแผนรับมือภาวะฉุกเฉิน ได้แก่:
เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับบุคลากร ลูกค้า และทรัพย์สินขององค์กรเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
ช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินกิจกรรมหลักได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่เกิดภาวะฉุกเฉิน
สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า พนักงาน และผู้ลงทุนว่าองค์กรมีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดคิด
การมีแผนที่ชัดเจนช่วยให้การฟื้นฟูหลังเหตุการณ์เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ให้แนวทางที่ชัดเจนในการตัดสินใจและดำเนินการในช่วงเวลาที่ต้องการความรวดเร็วและแม่นยำ
เช่น ISO 22320 และแนวทางการจัดการ ภาวะฉุกเฉิน ที่องค์กรควรปฏิบัติตามเพื่อความปลอดภัยและความรับผิดชอบต่อสังคม
ขั้นตอนการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้น มีอะไรบ้าง?
เมื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ อุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานขององค์กร การตอบโต้ต้องเป็นไปอย่างมีระบบ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ โดยอ้างอิงจากมาตรฐานสากล ISO 22320:2018 – Emergency Management ซึ่งกำหนดโครงสร้างการบริหารจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉินไว้อย่างชัดเจน
องค์ประกอบหลักของโครงสร้างการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินตาม ISO 22320:
กำหนดอำนาจในการตัดสินใจ วางโครงสร้างการบริหารเหตุการณ์ และจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นระบบ เพื่อควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวบรวม ประเมิน และแบ่งปันข้อมูลเหตุการณ์อย่างทันเวลา พร้อมจัดทำแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน รวมถึงรายงานสถานะและการจัดสรรบุคลากร
ดำเนินการตามเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ เช่น การลดความเสี่ยง การปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน และการควบคุมสถานการณ์จนเข้าสู่ขั้นตอนการฟื้นฟู
จัดการด้านสถานที่ อุปกรณ์ การขนส่ง เชื้อเพลิง อาหาร และบริการทางการแพทย์ รวมถึงการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ดูแลเรื่องการเบิกจ่าย การจัดซื้อ การชดเชย และการบริหารเวลาและต้นทุน โดยอาจแยกเป็นหน่วยเฉพาะหรือรวมกับโครงสร้างหลัก ขึ้นอยู่กับขนาดของเหตุการณ์
Download ฟรี คู่มือหลักการจัดการภาวะฉุกเฉินเบื้องต้น จากอินเตอร์ริสค์
เพื่อสนับสนุนการเตรียมความพร้อมอย่างเป็นระบบ ทาง InterRisk Asia ได้จัดทำไฟล์ PDF คู่มือเบื้องต้นเกี่ยวกับหลักการจัดการภาวะฉุกเฉินเบื้องต้น สำหรับดาวน์โหลดฟรี
เหมาะสำหรับใคร?
- เจ้าหน้าที่ความปลอดภัย (Safety Officer)
- ทีมบริหารความเสี่ยง (Risk Management)
- หน่วยงานราชการและองค์กรเอกชนที่ต้องการวางแผนรับมือภาวะฉุกเฉิน
คำถามที่พบได้บ่อย (FAQs)
องค์กรควรมีแผนรับมือกับสภาวะฉุกเฉินหรือไม่?
องค์กรควรมีแผนรับมือกับสภาวะฉุกเฉิน เพื่อให้สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ลดผลกระทบ และฟื้นฟูการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ใครเป็นผู้รับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน?
ควรมีการแต่งตั้งทีมจัดการภาวะฉุกเฉิน (Emergency Response Team) และกำหนดบทบาทหน้าที่ไว้อย่างชัดเจน
ควรสื่อสารกับพนักงานและผู้มีส่วนได้เสียอย่างไรในภาวะวิกฤติ?
ต้องมีช่องทางสื่อสารที่ชัดเจน เช่น โทรศัพท์ อีเมล แอปภายใน หรือประกาศผ่านเว็บไซต์ เพื่อแจ้งข้อมูลที่ถูกต้องและทันเวลา
หลังเกิดเหตุฉุกเฉินควรทำอย่างไร?
ควรมีการประเมินผล (Post-Incident Review), สรุปบทเรียน (Lessons Learned), และปรับปรุงแผนเพื่อป้องกันเหตุซ้ำในอนาคต
จัดการภาวะฉุกเฉินกับ InterRisk Asia
การมีแผนฉุกเฉินที่ชัดเจนและเป็นระบบจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
InterRisk เราให้บริการที่ครอบคลุมตั้งแต่ การประเมินความเสี่ยง (Risk Management) การจัดทำแผน BCP การอบรม BCP การฝึกซ้อมแผน BCP ไปจนถึงการให้คำปรึกษาแบบครบวงจร โดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ อีกทั้ง InterRisk เป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจชั้นนำในประเทศไทย ภายใต้เครือ MS&AD จากประเทศญี่ปุ่น
ทีมที่ปรึกษามีประสบการณ์ด้าน BCMS โดยตรง
การออกแบบแผนที่ปรับตามบริบทของแต่ละธุรกิจ
โซลูชันที่ใช้ได้จริง ครบวงจร และพร้อมดำเนินการ