ในโลกธุรกิจที่ความไม่แน่นอนสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดของบุคลากร กระบวนการภายในที่ซับซ้อน ระบบเทคโนโลยีที่อาจล้มเหลว หรือเหตุการณ์ภายนอกอย่างภัยพิบัติและวิกฤตเศรษกิจ องค์กรจึงจำเป็นต้องมีแนวทางในการรับมืออย่างเป็นระบบ ผ่านการประเมินความเสี่ยงที่รอบด้าน การบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุมทุกมิติ และการเตรียมความพร้อมด้าน Crisis Management เพื่อให้สามารถควบคุมสถานการณ์ ฟื้นฟู และดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดนี้คือแก่นสำคัญของแนวคิด Operational Risk Management ที่จะช่วยให้องค์กรอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืน
HIGHLIGHTS:
- Operational Risk Management คือ การจัดการความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ ที่เกิดจากระบบ กระบวนการ บุคลากร หรือเหตุการณ์ภายนอก ซึ่งส่งผลต่อการดำเนินงานประจำวันขององค์กร
- ช่วยให้องค์กร ป้องกันความเสียหายทางธุรกิจ ที่อาจเกิดขึ้นจากความผิดพลาดหรือเหตุไม่คาดคิด เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม ระบบ IT ล่ม หรือข้อผิดพลาดจากลบุคลากร
- แตกต่างจาก Enterprise Risk Management (ERM) เพราะมุ่งเน้นไปที่ “ความเสี่ยงเชิงปฏิบัติการ” โดยตรง
- การบริหารความเสี่ยงที่ดีประกอบด้วย 6 ขั้นตอนหลัก คือ กำหนดขอบเขต ระบุความเสี่ยง วิเคราะห์ความเสี่ยง ประเมินความเสี่ยง จัดการความเสี่ยง และรายงานผล
- องค์กรที่ใช้ ORM อย่างมีประสิทธิภาพ จะมีความยืดหยุ่น (Resilience) และแข่งขันได้ในระยะยาว
- จากคำถามที่พบบ่อยจะเห็นได้ว่า Operational Risk Management ไม่ใช่เพียงเครื่องมือเสริม แต่เป็นรากฐานที่สำคัญที่ช่วยให้องค์กรทุกขนาดสามารถรับมือกับความเสี่ยงได้อย่างเป็นระบบ การจัดทำและทบทวน ORM อย่างสม่ำเสมอจึงเท่ากับการลงทุนเพื่อความยั่งยืนและความสามารถในการแข่งขันได้ในระยะยาว
Operational Risk Management คืออะไร
Operational Risk Management คือ การบริหารและควบคุมความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ ที่เกิดจากการทำงานประจำวันขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดจากบุคลากร กระบวนการ ระบบเทคโนโลยี หรือปัจจัยจากภายนอก เช่น ภัยธรรมชาติ ภาวะฉุกเฉิน หรือการโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งจะต่างจากความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์หรือการเงิน ตรงที่ ORM จะมุ่งเน้นไปที่การจัดการ “ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงในทุกวันของการปฏิบัติงาน” และอาจนำไปสู่ความเสียหายโดยตรง เช่น การหยุดชะงักของการผลิต การสูญเสียข้อมูล หรือแม้แต่การสูญเสียชื่อเสียงขององค์กร
Operational Risk Management ต่างจาก Enterprise Risk Management อย่างไร
แม้ว่า Enterprise Risk Management (ERM) จะเป็นกรอบการบริหารความเสี่ยงในภาพรวมที่สำคัญสำหรับองค์กร ส่วน Operational Risk Management จะเน้นที่การบริหารความเสี่ยงเชิงปฏิบัติการโดยเฉพาะซึ่งก็มีความสำคัญต่อองค์การเช่นกัน โดยที่มีความแต่งต่างกันดังนี้
เปรียบเทียบ
Operational Risk Management
Enterprise Risk Management
ขอบเขต
ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ เช่น ระบบ กระบวนการ บุคลากร
ความเสี่ยงทางธุรกิจทุกประเภท เช่น
กลยุทธ์ การเงิน กฏหมาย ชื่อเสียง
เป้าหมาย
ลดการหยุดชะงักในการดำเนินงาน
บริหารความเสี่ยงทั้งองค์กร
ผู้เกี่ยวข้อง
ฝ่ายปฏิบัติการและทีมความเสี่ยง
คณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูง
แนวทาง
ใช้กรอบใหญ่ เช่น COSO ERM ISO31000
ดังนั้น Operational Risk Management จึงเป็น “หนึ่งในฟังเฟืองที่สำคัญ” ของ Enterprise Risk Management ที่จะทำให้องค์กรสามารถรับมือกับเหตุการณ์ประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสำคัญของ Operational Risk Management คืออะไร
-
เพิ่มความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity)
หากไม่มี Operation Risk Management องค์กรอาจหยุดชะงักจากเหตุการณ์เล็กน้อยที่บานปลายได้ เช่น หากระบบ Server ล่ม 2 ชั่วโมง อาจสร้างความเสียหายมหาศาล -
ปกป้องชื่อเสียงองค์กร
ความผิดพลาดเล็กน้อย เช่น การสื่อสารที่ผิดพลาดหรือไม่มีประสิทธิภาพ อาจนำไปสู่ข่าวเสียหายในด้านลบ ซึ่ง Operational Risk Management จะช่วยวางมาตรการป้องกันชื่อเสียงได้ -
ลดความสูญเสียทางการเงิน
การจัดการความเสี่ยงที่ดีจะช่วยลดค่าใช้จ่ายความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นซ้ำ ๆ และยังช่วยลดโอกาสในการเกิดเหตุฉุกเฉินได้อีกด้วย -
สร้างความมั่นใจให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
หากองค์กรมีระบบการจัดการความเสี่ยงที่เข้มแข็ง จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ลูกค้า คู่ค้า หรือแม้แต่บุคลากรในองค์กร
ขั้นตอนการทำ Operational Risk Management มีอะไรบ้าง
เพื่อให้การบริหารความเสี่ยงด้านปฏิบัติการเกิดประสิทธิภาพสูงสุด องค์กรไม่เพียงแต่ต้องตระหนักถึงความเสี่ยง แต่ยังต้องมีแนวทางที่เป็นระบบในการจัดการ ความเข้าใจในขั้นตอนการจัดทำ Operational Risk Management จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยลดผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด และทำให้ธุรกิจดำเนินต่อได้อย่างมั่นคง
ขั้นตอนที่ 1: การกำหนดขอบเขตและเกณฑ์ (Scope and Criteria)
การกำหนดขอบเขต (Scope) ของการบริหารความเสี่ยงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ เช่น ครอบคลุมแผนกใด กระบวนการใด หรือโครงการใดบ้าง พร้อมระบุเกณฑ์ (Criteria) ที่จะใช้ในการตัดสิน เช่น ระดับความรุนแรงของผลกระทบ (Impact) และระดับความน่าจะเป็น (Likelihood) ซึ่งขั้นตอนนี้ถือเป็น “รากฐาน” ที่จะช่วยให้การบริหารความเสี่ยงมีทิศทางและวัดผลได้ชัดเจน
ขั้นตอนที่ 2: การระบุความเสี่ยง (Risk Identification)
การระบุความเสี่ยงอย่างรอบด้าน ทั้งจากบุคลากร กระบวนการ ระบบเทคโนโลยี และปัจจัยภายนอก เช่น ภัยพิบัติหรือความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน จุดนี้คือการ “เห็นให้ครบ” ก่อนที่จะจัดการ
ขั้นตอนที่ 3: การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Analysis)
การวิเคราะห์รายละเอียดของความเสี่ยงที่พบ เช่น แหล่งที่มา กลไลที่ก่อให้เกิดเหตุ สาเหตุที่อาจเกิดขึ้น ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ผลกระทบเชิงปฏิบัติการ และผลกระทบที่อาจตามมา เพื่อนำข้อมูลไปใช้ประกอบการประเมินและเข้าใจธรรมชาติของความเสี่ยงอย่างลึกซึ้ง
ขั้นตอนที่ 4: การประเมินความเสี่ยง (Risk Evaluation)
การประเมินและจัดลำดับความสำคัญของความเสี่ยง โดยพิจารณาจาก “โอกาสเกิด x ระดับผลกระทบ” รวมถึงเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในขั้นตอนแรก เพื่อตัดสินใจว่าความเสี่ยงใดต้องจัดการก่อน ความเสี่ยงใดสามารถยอมรับได้
ขั้นตอนที่ 5: การจัดการความเสี่ยง (Risk Treatment)
การเลือกมาตรการเพื่อลดหรือควบคุมความเสี่ยง เช่น การป้องกันความเสี่ยง (Risk Avoidance) การลดผลกระทบ (Risk Mitigation) การโอนย้ายความเสี่ยง (Risk Transfer) หรือการยอมรับความเสี่ยง (Risk Acceptance) ตามความเหมาะสม
ขั้นตอนที่ 6: การบันทึกและจัดทำรายงาน (Recording and Reporting)
การบันทึกข้อมุลการบริหารความเสี่ยงทั้งหมด เช่น วิธีการที่ใช้ ผลลัพธ์ที่ได้ และการตัดสินใจ พร้อมทั้งรายงานต่อผู้บริหารและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อการติดตามปละปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
Operational Risk Management มีประโยชน์อย่างไร
การทำ Operational Risk Management ไม่ได้ช่วยเพียงลดความเสี่ยงหรือป้องกันความเสียหาย แต่ยังสร้างคุณค่าให้กับองค์กร ดั้งท้านการเงิน การดำเนินการ และความน่าเชื่อถือ ทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
- ลดความสูญเสียทางการเงินที่อาจเกิดจากความผิดพลาดหรือเหตุฉุกเฉิน
- ทำให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้แม้เกิดเหตุการณ่ที่ไม่คาดคิด
- เพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าและนักลงทุน
- สร้างวัฒนธรรมความเสี่ยง (Risk Culture) ภายในองค์กร
Operational Risk Management มีข้อจำกัดอะไรบ้าง
แม้ Operational Risk Management จะมีประโยชน์ต่อองค์กรมากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดที่องค์กรควรทำความเข้าใจ ดังนี้
- ไม่สามารถป้องกันความเสี่ยงได้ 100% เพราะในโลกปัจจุบันมีความเสี่ยงใหม่ ๆ เกิดขึ้นเสมอ
- ต้องลงทุนด้านทรัพยากรและบุคลากร เพื่อให้ระบบสามารถดำเนินการได้จริงและมีประสิทธิภาพ
- ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมองค์กร หากบุคลากรไม่ได้ความร่วมมือ ระบบที่พัฒนาขึ้นอาจไม่สามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืน
- ความซับซ้อนในการประเมิน บางความเสี่ยงสามารถประเมินได้ยาก เช่น ชื่อเสียง หรือผลกระทบทางสังคม
คำถามที่พบได้บ่อย (FAQs)
ตัวอย่าง Operational Risk Management คืออะไรบ้าง
- แผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP) คือ แผนความต่อเนื่องทางธุรกิจที่ช่วยให้องค์กรดำเนินงานได้แม้เกิดเหตุฉุกเฉิน
- การวิเคราะห์ผลกระทบทางธุรกิจ (BIA) คือ การวิเคราะห์ผลกระทบทางธุรกิจและการดำเนินการ เพื่อตัดสินใจว่ากระบวนการใดสำคัญและควรได้รับการฟื้นฟูก่อน
- การบริหารจัดการภาวะฉุกเฉิน (Crisis Management) คือ การบริหารจัดการภาวะฉุกเฉินและเหตุการณ์วิกฤต เพื่อควบคุมสถานการณ์และลดความเสียหาย เช่น การจัดทำแผนฉุกเฉินไฟไหม้
ข้อได้เปรียบของการทำ Operational Risk Management คืออะไร
การทำ Operational Risk Management อย่างจริงจังช่วยให้องค์กรมีความยืนหยุ่น (Resilience) พร้อมรับมือกับเหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดคิด ลดผลกระทบทางธุรกิจที่อาจเกิดขึ้นจากการหยุดชะงักของการดำเนินงาน อกทั้งยังสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า คู่ค้าและนักลงทุน ว่างองค์กรมีการบริหารจัดการที่น่าเชื่อถือและปลอดภัย
Operational Risk แตกต่างจาก Financial Risk อย่างไร
Operational Risk เกี่ยวกับความเสี่ยงจากการปฏิบัติงานประจำวัน เช่น ความผิดพลาดของบุคลากร ระบบ หรือกระบวนการ ในขณะที่ Financial Risk เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงด้านการเงิน การลงทุน กระแสเงินสด หรือตลาดการเงิน ซึ่งความแตกต่างนี้มีความสำคัญ เพราะส่งผลให้การจัดการใช้วิธีการและเครื่องมือไม่เหมือนกัน
Operational Risk Management เกี่ยวข้องกับ BCP และ BCMS อย่างไร
Operational Risk Management เป็นพื้นฐานของการจัดทำ BCP และ BCMS เพราะช่วยให้องค์กรรู้ว่าความเสี่ยงใดอาจทำให้ธุรกิจหยุดชะงัก จากการระบุ การวิเคราะห์ และการประเมินความเสี่ยงต่อการปฏิบัติการ พร้อมนำไปออกแบบแผนรับมือหรือแผนฉุกเฉิน เพื่อจัดการและตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
องค์กรขนาดเล็กจำเป็นต้องทำ Operational Risk Management หรือไม่
มีความจำเป็นเช่นเดียวกับองค์กรขนาดใหญ่ เพราะแม้จะเป็นธุรกิจ SMEs ก็สามารถหยุดชะงักและเกิดความเสียหายรุนแรงได้หากไม่มีการบริหารความเสี่ยงที่ดี ซึ่ง Operational Risk Management จะช่วยให้ทุกขนาดและทุกประเภทธุรกิจมีความพร้อมและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้
ควรทบทวนและอัปเดต Operational Risk Management บ่อยแค่ไหน
โดยทั่วไปควรทำการทบทวน Operational Risk Management อย่างน้อยปีละครั้ง หรือบ่อยกว่านั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ เช่น กฏหมายใหม่ เทคโนโลยีใหม่ หรือเหตุการณ์วิกฤต ซึ่งการอัปเดตที่สม่ำเสมอจะช่วยให้องค์กรสามารถรับมือกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ใช้มาตรฐานอะไรเป็นแนวทาง Operational Risk Management ได้บ้าง
ส่วนใหญ่มักนิยมอ้างอิงจาก ISO 31000 Risk Management Guidelines ในด้านการบริหารความเสี่ยงที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการความเสี่ยงได้ในหลาย ๆ ด้าน หรืออ้างอิงจาก BASEL II สำหรับการบริหารความเสี่ยงของธุรกิจด้านการเงิน นอกจากนี้ก็ยังใช้ ISO 22301 Business continuity management systems Requirements สำหรับการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ โดยที่การอ้างอิงมาตรฐานเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความเป็นระบบให้กับ Operational Risk Management
Operational Risk Management ช่วยลดต้นทุนทางธุรกิจได้อย่างไร
Operational Risk Management จะช่วยลดค่าใช้จ่ายหรือความสูญเสียจากความผิดพลาดซ้ำ ๆ ความล่าช้าในการทำงาน หรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด การจัดการที่ดีจะทำให้องค์กรสามารถบริหารจัดการทรัพยากรที่ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดค่าใช้จ่ายด้านการแก้ปัญหาฉุกเฉินในอนาคตได้
จัดทำ Operational Risk Management กับ InterRisk Asia
Operational Risk Management คือ เครื่องมือสำคัญในการปกป้ององค์กรจากความเสี่ยงด้านการปฏิบัติการที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกวัน ตั้งแต่ความผิดพลาดของบุคลากร ไปจนถึงภัยพิบัติระดับใหญ่ การมีระบบ ORM ที่แข็งแรง จะทำให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน มั่นคง และแข่งขันได้ในระยะยาว
ที่ InterRisk เราให้บริการที่ครอบคลุมตั้งแต่ การประเมินความเสี่ยง (Risk Management) การจัดทำแผน BCP การอบรม BCP การฝึกซ้อมแผน BCP ไปจนถึงการให้คำปรึกษาแบบครบวงจร โดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในหลายอุตสาหกรรม หากองค์กรของคุณกำลังมองหาที่ปรึกษาในการสร้างระบบการจัดการความเสี่ยงด้านปฏิบัติการที่แข็งแรง InterRisk คือคำตอบ แล้วคุณจะมั่นใจได้ว่า “แม้จะเกิดวิกฤต องค์กรของคุณก็จะไม่สะดุด”
InterRisk เป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจชั้นนำในประเทศไทย ภายใต้เครือ MS&AD จากประเทศญี่ปุ่น
ทีมที่ปรึกษามีประสบการณ์ด้าน BCMS โดยตรง
การออกแบบแผนที่ปรับตามบริบทของแต่ละธุรกิจ
โซลูชันที่ใช้ได้จริง ครบวงจร และพร้อมดำเนินการ