เมื่อธุรกิจต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ระบบล่ม ภัยพิบัติ หรือการโจมตีทางไซเบอร์ “RTO คือ” หนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและลดความเสียหายให้น้อยที่สุด มาทำความเข้าใจแนวคิดนี้ พร้อมวิธีวางแผนและประโยชน์ของการมี Recovery Time Objective (RTO) ที่ชัดเจน
เมื่อองค์กรต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ระบบล่ม ภัยพิบัติ หรือการโจมตีทางไซเบอร์ (Cyber Security Incident) สิ่งที่ผู้บริหารควรเข้าใจเป็นอันดับแรกคือ “RTO คืออะไร” หนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและลดความเสียหายให้น้อยที่สุด มาทำความเข้าใจแนวคิดนี้ พร้อมวิธีวางแผนและประโยชน์ของการมี Recovery Time Objective (RTO) ที่ชัดเจน
HIGHLIGHTS:
- RTO คือ ระยะเวลาเป้าหมายสูงสุดที่องค์กรต้องฟื้นฟูระบบ หรือกระบวนการให้กลับมาใช้งานได้หลังเหตุหยุดชะงัก เพื่อจำกัดผลกระทบทางธุรกิจ
- RPO คือ ระยะเวลาข้อมูลสูงสุดที่องค์กรยอมให้สูญหายได้ เพื่อให้ระบบสำรองข้อมูลทำงานสอดคล้องกับเป้าหมายการกู้คืน
- การกำหนด RTO และ RPO อย่างเหมาะสมต้องอ้างอิงจากการประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) และการวิเคราะห์ผลกระทบทางธุรกิจ (BIA) เพื่อให้เข้าใจความสำคัญของแต่ละกระบวนการ
- วิธีตรวจสอบค่า RTO ที่ตั้งไว้นั้นสามารถทำได้จริงสามารถทำได้จากการทดสอบและซ้อมแผน BCP (Testing & Exercise)
- InterRisk Asia เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Business Continuity Management (BCM) ที่ช่วยองค์กรกำหนด RTO, RPO, และแผนบริหารความเสี่ยงอย่างครบวงจร เพื่อสร้างความยืดหยุ่นและความยั่งยืนให้ธุรกิจในระยะยาว
RTO คืออะไร (Recovery Time Objective)
RTO ย่อมาจาก Recovery Time Objective หมายถึง ระยะเวลาเป้าหมายสูงสุดที่องค์กรกำหนดไว้ในการฟื้นฟูระบบ กระบวนการ หรือการดำเนินธุรกิจให้กลับมาทำงานได้ตามปกติ หลังเกิดเหตุการณ์หยุดชะงัก เช่น ไฟดับ เซิร์ฟเวอร์ล่ม หรือข้อมูลสูญหาย
ตัวอย่างเช่น หากระบบการสั่งซื้อออนไลน์มี RTO เท่ากับ 4 ชั่วโมง หมายความว่าองค์กรต้องสามารถฟื้นฟูระบบให้กลับมาใช้งานได้ภายใน 4 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ เพื่อไม่ให้กระทบต่อรายได้หรือความพึงพอใจของลูกค้า
Recovery Time Objective (RTO) จึงเป็นตัวชี้วัดสำคัญในแผน Business Continuity Plan (BCP) และ Disaster Recovery Plan (DRP) ที่ทุกองค์กรควรกำหนดไว้อย่างชัดเจน
ก่อนจะกำหนดค่า RTO ได้อย่างเหมาะสม องค์กรควรเริ่มจากการทำการประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) เพื่อระบุว่ากระบวนการใดสำคัญที่สุด และมีผลกระทบต่อธุรกิจในระดับใดบ้าง
RPO คืออะไร (Recovery Point Objective)
เมื่อพูดถึง RTO เรามักได้ยินคำว่า RPO คู่กันเสมอ โดย RPO ย่อมาจาก Recovery Point Objective คือ ระยะเวลาสูงสุดของการสูญหายของข้อมูลที่ธุรกิจสามารถยอมรับได้ ก่อนเกิดเหตุหยุดชะงัก
ตัวอย่างเช่น หาก RPO ของระบบเท่ากับ 2 ชั่วโมง หมายถึงระบบ Backup ต้องเก็บข้อมูลอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง เพื่อให้เมื่อเกิดเหตุ ระบบสามารถกู้คืนข้อมูลได้โดยสูญหายน้อยที่สุด
RTO และ RPO ต่างกันอย่างไร และเลือกอย่างไรให้เหมาะกับธุรกิจ
หลายคนมักสับสนว่า RTO คืออะไร และต่างจาก RPO อย่างไร เป้าหมายในการ Recovery คืออะไร ทั้งสองแนวคิดมีความเกี่ยวข้องกันแต่มีจุดเน้นที่ไม่เหมือนกัน หากเข้าใจความแตกต่างได้อย่างถูกต้อง องค์กรจะสามารถเลือกกำหนดค่า RTO และ RPO ที่สอดคล้องกับความต้องการทางธุรกิจและงบประมาณได้ดีที่สุด
ความแตกต่าง
RTO
(Recovery Time Objective)
RPO
(Recovery Point Objective)
คำจัดกัดความ
ระยะเวลาในการฟื้นฟูระบบหรือกระบวนการกลับมาใช้งานได้
ระยะเวลาสูงสุดของข้อมูลที่ยอมให้สูญหายได้
เป้าหมาย
ลดเวลาที่ระบบหยุดทำงาน
ลดปริมาณข้อมูลที่สูญหาย
ตัวชี้วัด
เวลา (ชั่วโมงหรือนาที) ที่ระบบกลับมาทำงานได้
เวลา (ชั่วโมงหรือนาที) ของข้อมูลที่สูญหาย
ผลกระทบหากเกินเป้าหมาย
เสียรายได้ สูญเสียความเชื่อมั่น
ข้อมูลสูญหาย ซึ่งอาจขึ้นอยู่กับความสำคัญของข้อมูล
การเลือก RTO และ RPO ที่เหมาะสม ต้องพิจารณาจากลักษณะธุรกิจ ความสำคัญของระบบ และความสามารถในการลงทุนด้านเทคโนโลยี เช่น ธนาคารอาจต้องการ RTO เพียงไม่กี่นาที ในขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กอาจยอมรับได้ในระดับชั่วโมง ซึ่งการกำหนด RTO และ RPO อย่างเป็นระบบถือเป็นส่วนหนึ่งของ Operational Risk Management ซึ่งช่วยให้องค์กรเข้าใจความเสี่ยงในระดับการปฏิบัติและสามารถกำหนดแผนป้องกันได้ล่วงหน้า
ตัวอย่างความแตกต่างของ RTO และ RPO
ลองพิจารณาสถานการณ์ของบริษัทค้าปลีกที่มีระบบขายออนไลน์ 24 ชั่วโมง
-
RTO
บริษัทกำหนดว่าหากระบบล่ม ต้องฟื้นฟูให้ได้ภายใน 2 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้กระทบยอดขาย -
RPO
บริษัทตั้งค่าการ Backup ทุก 30 นาที หมายถึงข้อมูลการขายที่สูญหายสูงสุดไม่เกินครึ่งชั่วโมง
กรณีนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมผลกระทบได้ทั้งในด้าน “เวลา” และ “ข้อมูล” ซึ่งเป็นหัวใจของระบบการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management System หรือ BCMS คือ ระบบบริหารความต่อเนื่องที่รองรับทั้ง RTO และ RPO) นอกจากนี้ยังเชื่อมโยงกับ Supply Chain Risk Management เพราะการหยุดชะงักของระบบขายจะส่งผลต่อการจัดการสินค้าคงคลัง การขนส่ง และความพึงพอใจของลูกค้าในห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด
ประโยชน์ของการกำหนด RTO
การกำหนด RTO คือ การเตรียมพร้อมเชิงกลยุทธ์เพื่อให้ธุรกิจสามารถฟื้นตัวจากเหตุไม่คาดคิดได้อย่างมั่นใจ มีประโยชน์หลายด้าน เช่น
- ลดความเสียหายทางการเงิน เพราะรู้ขอบเขตเวลาที่ต้องกู้คืนได้จริง
- สนับสนุนการจัดทำแผนฉุกเฉิน (Emergency Plan) เพื่อให้ทุกหน่วยงานมีแนวทางปฏิบัติร่วมกัน
- สร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าและคู่ค้า ว่าองค์กรมีระบบบริหารความต่อเนื่องที่ชัดเจน
- เสริมความพร้อมด้าน Crisis Management และการสื่อสารในภาวะวิกฤต
- สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น ISO 22301 ที่เน้นการกำหนด RTO อย่างเป็นระบบ
กล่าวได้ว่า RTO เป็นหัวใจของ การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่ช่วยให้องค์กรวางแผนรับมือสถานการณ์จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการกำหนดทั้ง RTO และ RPO ก็ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของ Enterprise Risk Management ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริหารมองเห็นภาพรวมของความเสี่ยงทั้งหมดในองค์กร ทั้งด้านการปฏิบัติการ การเงิน เทคโนโลยี และชื่อเสียง เพื่อให้สามารถตัดสินใจจัดลำดับความสำคัญของการฟื้นฟูระบบได้อย่างแม่นยำ
คำถามที่พบได้บ่อย (FAQs)
RTO ระยะเวลาเป้าหมายในการฟื้นคืนสภาพ หมายถึงอะไร
คือระยะเวลาที่องค์กรต้องฟื้นฟูกระบวนการสำคัญให้กลับมาทำงานได้หลังเกิดเหตุ เช่น ภายใน 4 ชั่วโมงหลังระบบล่ม
MTPD, RTO, RPO คืออะไร ต่างกันอย่างไร
หา RTO ได้จากไหน
การหาค่า RTO ต้องเริ่มจากการทำ BIA คือ Business Impact Analysis เพื่อวิเคราะห์ว่าถ้ากระบวนการ หรือระบบใดหยุดทำงาน จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจในด้านรายได้ กฎหมาย ชื่อเสียง และการให้บริการอย่างไร จากนั้นจึงกำหนด “เวลาที่ธุรกิจสามารถยอมให้หยุดชะงักได้” หากไม่รู้วิธีการหาค่า RTO หรือจัดทำ BIA สามารถเรียนรู้ได้จากคอร์สอบรม BCP โดย InterRisk ได้
จะรู้ได้อย่างไรว่า RTO ที่กำหนดถูกต้อง
วิธีตรวจสอบว่า RTO ถูกต้องหรือไม่ คือการทำการทดสอบและซ้อมแผน BCP (Testing & Exercise) เช่น จำลองเหตุการณ์ระบบล่มจริง แล้วดูว่าองค์กรสามารถฟื้นฟูได้ภายในเวลาที่ตั้งไว้หรือไม่ หากไม่สามารถทำได้ ต้องกลับมาปรับปรุงแผน หรือเพิ่มทรัพยากรเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ค่า RTO แต่ละกระบวนการควรเหมือนกันหรือไม่
ไม่จำเป็น เพราะแต่ละกระบวนการมีความสำคัญต่างกัน เช่น ระบบคลังสินค้าอาจหยุดได้ 8 ชั่วโมง แต่ระบบขายออนไลน์ต้องกลับมาใน 1 ชั่วโมง
RTO ที่ดีต้องสั้นที่สุดใช่หรือไม่
ไม่จำเป็น ค่า RTO ที่ดีควร “เหมาะสมกับความเสี่ยงและงบประมาณ” มากกว่าการตั้งให้สั้นโดยไม่สามารถปฏิบัติได้
ใครเป็นผู้กำหนดค่า RTO
โดยทั่วไปเป็นหน้าที่แผนกที่ดูแลแต่ละกระบวนการ ฝ่ายบริหารความเสี่ยง และผู้บริหารระดับสูงที่เข้าใจผลกระทบทางธุรกิจ
การกำหนด RTO มีผลต่อค่าใช้จ่ายหรือไม่
มีผลโดยตรง เพราะยิ่งต้องการเวลาฟื้นฟูเร็ว ต้องมีทรัพยากรรองรับมากขึ้น ระบบสำรองและเทคโนโลยีที่ใช้ก็ต้องมีความซับซ้อนมากขึ้น
ธุรกิจขนาดเล็กจำเป็นต้องมี RTO ไหม
จำเป็นมาก เพราะแม้ธุรกิจขนาดเล็กก็มีความเสี่ยงเช่นเดียวกัน การมีค่า RTO จะช่วยลดผลกระทบและป้องกันการหยุดชะงักของรายได้
ถ้า RTO ที่กำหนดไว้ไม่สามารถทำได้จริง ควรทำอย่างไร
ให้ถือว่าเป็นโอกาสในการปรับปรุง อาจต้องเพิ่มทรัพยากร ทบทวนขั้นตอน หรือปรับค่า RTO ให้เหมาะสมกับศักยภาพจริง
RTO คือการฟื้นฟูระบบขององค์กรหลังเกิดเหตุไม่คาดคิด ค้นหา Recovery Time Objective กับ InterRisk Asia
RTO คือ แนวทางสำคัญของการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ และเป็นเครื่องมือชี้วัดความสามารถในการฟื้นฟูระบบขององค์กรหลังเกิดเหตุไม่คาดคิด ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ ปัญหาทางเทคนิค หรือการโจมตีทางไซเบอร์ การกำหนด RTO ที่ถูกต้องผ่านการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) และจัดทำแผนฉุกเฉินและ Incident Response จะช่วยให้ธุรกิจสามารถฟื้นฟูได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
InterRisk Asia เป็นที่ปรึกษาด้าน Business Continuity Management (BCM) ภายใต้เครือ MS&AD จากประเทศญี่ปุ่น ที่ให้บริการครบวงจร ตั้งแต่การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) การจัดทำแผน BCP การอบรม BCP การซ้อมแผน BCP ไปจนถึงการให้คำปรึกษาแบบครบวงจรครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม เราช่วยองค์กรวิเคราะห์และกำหนดค่า RTO, RPO, MTPD ที่เหมาะสม เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อได้แม้ในสถานการณ์ที่ท้าทายที่สุด
ทีมที่ปรึกษามีประสบการณ์ด้าน BCMS โดยตรง
การออกแบบแผนที่ปรับตามบริบทของแต่ละธุรกิจ
โซลูชันที่ใช้ได้จริง ครบวงจร และพร้อมดำเนินการ