DRP คือ? Disaster Recovery Plan เพื่อความต่อเนื่องทางธุรกิจ

Disaster Recovery Plan

DRP คืออะไร? แผนกู้คืนจากภัยพิบัติเพื่อความต่อเนื่องทางธุรกิจ

DRP คือ Disaster Recovery Plan หรือแผนกู้คืนจากภัยพิบัติ เป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เพื่อปกป้องข้อมูลและระบบ IT จากสถานการณ์ภัยพิบัติที่หลากหลาย ช่วยเรื่องการฟื้นฟูฮาร์ดแวร์และระบบ รวมถึงการดำเนินการอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมความต่อเนื่องทางธุรกิจ แผนกู้คืนจากภัยพิบัติ (DRP) มีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดกับแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP) แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญบางประการที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละองค์กร ซึ่งเราจะได้เรียนรู้ในบทความนี้

DRP คืออะไร? ทำความเข้าใจ Disaster Recovery Plan

DRP ย่อมาจาก Disaster Recovery Plan คือ แผนสำรองที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการปกป้องระบบ IT และข้อมูลสำคัญขององค์กรในกรณีที่เกิดการหยุดชะงักของระบบ ที่อาจมาจากหลายสถานการณ์ เช่น การหยุดทำงานครั้งใหญ่ของระบบ ภัยธรรมชาติ หรือการโจมตีทางไซเบอร์

ความสำคัญ ของ DRP คืออะไร

ความสำคัญของระบบ Disaster Recovery Plan (DRP) มีหลายด้านที่ช่วยให้องค์กรสามารถรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

1. ลดผลกระทบจากภัยพิบัติ
ช่วยให้องค์กรสามารถฟื้นฟูระบบ IT และข้อมูลสำคัญได้อย่างรวดเร็วหลังเกิดเหตุ เช่น ไฟดับ, น้ำท่วม, แรนซัมแวร์ ฯลฯ
2. รักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจ
แม้ระบบจะล่มหรือเกิดเหตุฉุกเฉิน องค์กรยังสามารถดำเนินงานต่อได้โดยไม่หยุดชะงัก
3. ปกป้องข้อมูลสำคัญ
มีแผนสำรองข้อมูลและระบบที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการสูญหายของข้อมูล
4. สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
การมี DRP แสดงถึงความพร้อมและความรับผิดชอบในการดูแลข้อมูลและบริการ
5. ลดค่าใช้จ่ายจากการหยุดทำงาน
การฟื้นฟูระบบอย่างรวดเร็วช่วยลดความเสียหายทางการเงินจากการหยุดดำเนินงาน
6. สอดคล้องกับมาตรฐานและข้อกำหนด
เช่น ISO 27031, ISO 22301 ซึ่งช่วยให้องค์กรผ่านการตรวจสอบและปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและความต่อเนื่อง

DRP ต่างจาก BCP อย่างไร?

การกู้คืนจากภัยพิบัติ (Disaster Recovery) เป็นหลักการบริหารจัดการความเสี่ยง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง หรือ Business Continuity ในขณะที่ BCP คือ การเน้นไปที่การเตรียมตัวป้องกัน รับมือ และฟื้นฟูจากเหตุหยุดชะงักอย่างกว้างๆ DRP จะเน้นเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐานทาง IT และระบบต่าง ๆ ที่องค์กรจำเป็นต้องใช้ในการกลับมาดำเนินงานหลังจากเกิดเหตุขัดข้อง

DR มีกี่ประเภท อะไรบ้าง?

กลยุทธ์การกู้คืนจากภัยพิบัตินั้นมีหลายรูปแบบ ซึ่งองค์กรสามารถเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือผสมผสานหลายเทคนิคเข้าด้วยกันให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ความสำคัญและความเร่งด่วนของระบบ ดังนี้

1. การ Backup และ Restore

เป็นเทคนิคพื้นฐานที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี ซึ่งกระบวนการ Backup จะเริ่มจากการเก็บข้อมูลไว้ในที่ที่ปลอดภัยและทำการกู้คืนเมื่อเกิดภัยพิบัติ เทคนิคนี้อาจเหมาะกับองค์กรขนาดเล็กหรือระบบที่ไม่ต้องการความต่อเนื่องแบบทันที เนื่องจากเป็นเทคนิคที่ไม่ครอบคลุมถึงการกู้คืนโครงสร้างพื้นฐานจาก Network

2. Cold Site

Cold Site เป็นสถานที่ทำงานสำรองที่มีแค่พื้นที่และโครงสร้างพื้นฐาน จึงเป็นกลยุทธ์ต้นทุนต่ำที่เหมาะกับองค์กรที่สามารถรอและใช้เวลาในการฟื้นฟูระบบได้ ข้อเสียของเทคนิคนี้คือไม่ได้โฟกัสที่การป้องกันหรือฟื้นฟูข้อมูล จึงมีความจำเป็นต้องใช้พร้อมกันกับเทคนิคอื่นๆ

3. Warm Site

Warm site เป็นจุดกึ่งกลางระหว่าง Cold Site และ Hot Site โดยสถานที่มีระบบโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงอุปกรณ์บางอย่างติดตั้งไว้แล้ว เช่น เซิร์ฟเวอร์หรือซอฟต์แวร์พื้นฐาน แต่ยังต้องอาศัยการนำข้อมูลเข้ามาและการ Configuration เพิ่มเติม เทคนิคนี้จึงเป็นตัวเลือกที่เป็นที่นิยมในการทำ DRP เนื่องจากมีราคาไม่สูงมากในขณะที่ใช้เวลา Setup เร็วกว่า Cold Site

4. Hot Site

Hot Site เป็นแพ็คเกจ Disaster Recovery เกรดพรีเมี่ยม เนื่องจากเป็นสถานที่สำรองที่มีระบบและข้อมูลพร้อมใช้งานทันที ถ้า Site หลักเกิดภัยพิบัติหรือเหตุหยุดชะงัก การสลับมาทำงานที่ Hot Site สามารถทำได้ทันที ตัวเลือกนี้จึงมีค่าใช้จ่ายสูงมาก และเหมาะกับการสำรองระบบและข้อมูลที่ไม่สามารถหยุดชะงักได้จริง ๆ

5. Disaster Recovery as a Service (DRaaS)

การใช้ DRaas เป็นการ Outsource ภาระหน้าที่ในการกู้คืนจากภัยพิบัติไปให้ผู้บริการที่มีความเชี่ยวชาญด้าน Disaster Recovery แทนโดยการใช้บริการคลาวด์ในการสำรองข้อมูลและระบบ มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับขนาดได้ตามความต้องการ และฟื้นฟูระบบได้อย่างรวดเร็ว เทคนิคนี้จึงเหมาะกับองค์กรที่ไม่อยากลงทุนสูงในการติดตั้งและดูแล Backup Site ของตัวเอง

DRP กับ Backup เหมือนกันหรือไม่?

หลายคนอาจสับสนระหว่าง DRP (Disaster Recovery Plan) กับ Backup เหมือนกันหรือไม่ เพราะทั้งสองเกี่ยวข้องกับการป้องกันข้อมูลสูญหายและการฟื้นฟูระบบ แต่จริง ๆ แล้ว ไม่เหมือนกัน ถ้าให้สรุปสั้น ๆ จากที่กล่าวมาด้านบน Backup เป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ใน DRP และ DRP คือแผนภาพรวมที่ช่วยให้องค์กรกลับมาทำงานได้หลังเกิดเหตุ โดยการมี Backup อย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ หากไม่มีแผน DRP ที่ชัดเจน เราสรุปความแตกต่างที่สำคัญไว้ให้ด้านล่างดังนี้

drp vs backup

ขั้นตอน การวางแผน DRP มีอะไรบ้าง

เช่นเดียวกับการวางแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP) แผน DRP ต้องมีการกำหนดบทบาทหน้าที่อย่างชัดเจน และต้องมีการทดสอบและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ใช้งานได้จริง ขั้นตอนการวางแผน DRP โดยทั่วไปมี 4 ขั้นตอนหลัก ดังนี้

1. วิเคราะห์ผลกระทบทางธุรกิจ (Business Impact Analysis) และประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment)

เช่นเดียวกับการทำ BCP การทำ Disaster Recovery Plan ควรเริ่มจากการระบุ Critical assets หรือทรัพย์สินหลักที่อาจเสียหายเมื่อเกิดภัยพิบัติหรือเหตุหยุดชะงัก ประเมินผลกระทบประเภทต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการทำ BIA ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียรายได้ การดำเนินงาน ชื่อเสียงและลูกค้า รวมถึงการประเมินความเสี่ยง (RA) เพื่อระบุความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดการหยุดชะงัก

2. ตรวจสอบทรัพยากรที่องค์กรมี

การทำ DRP ให้มีประสิทธิภาพต้องรู้ว่าองค์กรมีทรัพยากรอะไรบ้าง เช่น ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ระบบเครือข่ายและโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT และควรจัดลำดับความสำคัญของทรัพยากร (Labeling) เช่น

  • สำคัญมาก (Critical): จำเป็นต่อการดำเนินงานหลัก
  • สำคัญ (Important): ใช้งานประจำ หากขัดข้องจะกระทบบางส่วน
  • ไม่สำคัญ (Unimportant): ใช้ไม่บ่อย ไม่กระทบการทำงานหลัก

3. กำหนดบทบาทและหน้าที่

องค์กรต้องกำหนดบทบาทและหน้าที่ของทีมที่จะเข้ามารับผิดชอบแผน  ตัวอย่างหน้าที่ทีมงานใน DRP เช่น

  • ผู้รายงานเหตุการณ์ (Incident Reporter): ติดต่อและแจ้งเหตุให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ
  • หัวหน้าทีม DRP (DRP Supervisor): ดูแลให้ทีมปฏิบัติตามแผน
  • ผู้ดูแลทรัพยากร (Asset Manager): ปกป้องและดูแลทรัพยากรสำคัญ

4. ทดสอบและฝึกซ้อมแผน

เช่นเดียวกันกับ BCP การทำ DRP จะต้องมีการฝึกซ้อมแผนและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าแผนจะมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการอัพเดทเอกสาร รีวิวแผน DRP หลังเกิดภัยพิบัติ หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรายการทรัพย์สินหลัก ๆ

ทำแผน DRP กับ InterRisk Asia

Disaster Recovery Plan หรือ DRP คือ แผนกู้คืนจากภัยพิบัติ เป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมขององค์กร เพื่อปกป้องข้อมูลและระบบ IT จากสถานการณ์ภัยพิบัติหรือเหตุหยุดชะงัก ซึ่งมีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันกับการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCM) และแผนการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง (BCP) หากองค์กรของท่านกำลังประสบปัญหาด้าน DRP หรือการจัดการด้านความต่อเนื่อง ติดต่อทีมที่ปรึกษาของ InterRisk วันนี้เพื่อรับคำปรึกษาเบื้องต้นฟรี!

InterRisk Asia (Thailand) เราเป็นบริษัทให้บริการด้านการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ โดยครอบคลุมตั้งแต่การวิเคราะห์ผลกระทบทางธุรกิจ (Business Impact Analysis), การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment), การจัดทำแผน Business Continuity Plan ไปจนถึงการฝึกอบรม ฝึกซ้อมและให้คำปรึกษาตามมาตรฐาน ISO 22301 เพื่อให้องค์กรพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ในทุกระดับได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

บริการของเรา
Business Continuity Consulting
การให้คำปรึกษาเพื่อพัฒนาระบบ BCM ผ่านรูปแบบการดำเนินงานแบบครบวงจร พร้อมต่อยอดสู่มาตรฐาน ISO 22301
Business Continuity Training
การฝึกอบรมแบบปรับแต่งเฉพาะสำหรับผู้บริหารและพนักงานเพื่อสร้างความตระหนักรู้และพัฒนาทักษะด้าน BCMS
Business Impact Analysis
การวิเคราะห์ความเสี่ยงและผลกระทบจากการหยุดชะงัก เพื่อวางแผนกลยุทธ์สำหรับการจัดทำแผน BCP
Business Continuity Plan Exercise
การซ้อมแผน BCP เพื่อทดสอบและพัฒนาความพร้อมและการตอบสนองขององค์กร
Business Continuity Assessment
การประเมินประสิทธิภาพของ BCM ด้วยการวิเคราะห์อย่างละเอียด พร้อมข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุง
เหตุผลที่เลือกเรา

ทีมที่ปรึกษามีประสบการณ์ด้าน BCMS โดยตรง

การออกแบบแผนที่ปรับตามบริบทของแต่ละธุรกิจ

โซลูชันที่ใช้ได้จริง ครบวงจร และพร้อมดำเนินการ

ไม่ว่าคุณจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการความมั่นใจ หรือธุรกิจ SMEs ที่ต้องการวางรากฐาน InterRisk พร้อมช่วยคุณสร้างแผน BCP ที่ครบวงจร เพื่อ Turning Risks To Resilience ไปด้วยกัน

แชร์

Let us help you ensure business continuity

Talk to InterRisk and take the first step toward a safer, risk-free business